เหตุเกิดเพราะ “คำทำนาย”...
(จากเรื่อง) เพราะ “
คำทำนาย” แท้ๆ เลยค่ะ
ทำให้มหากาพย์เรื่องดังของโลกอุบัติ เริ่มตั้งแต่คำทำนายที่ว่า “ผู้นำ” และ
“ผู้ปลดปล่อย”
ทาสชาวฮิบรูจากการถูกกดขี่ข่มเหงของชาวอียิปต์จะถือกำเนิดในปีหนึ่งของรัช
สมัยฟาโรห์เซติ (Pharaoh Seti) ทำให้ทารกเพศชาย
ซึ่งเกิดในปีนั้นถูกสังหารทิ้ง มีเพียง “
โมชา”
เด็กน้อยชาวฮิบรูที่รอดชีวิต
และถูกลักลอบเข้าวังด้วยความช่วยเหลือของพี่สาว ให้เป็นลูกชายของ “บีเธีย”
(Princess Bithia) พระขนิษฐาแห่งองค์ฟาโรห์ ทำให้เด็กชายผู้ต่ำต้อย
ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จนได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าชายอีกองค์แห่งอียิปต์
นามว่า “
โมเสส” (คริสเตียน เบล)
แม้เมื่อ “
โมเสส” เติบโตเป็นชายฉกรรจ์
ขุมกำลังและมันสมองสำคัญแห่งราชวงศ์ โชคชะตาก็ไม่หยุดเล่นตลกกับเขา เมื่อมี
“คำทำนาย” ก่อนการออกรบครั้งใหญ่ ว่า
“ผู้ช่วยชีวิตผู้นำทัพจะได้เป็นผู้นำเวลาต่อมา”
และเรื่องราวก็เลวร้ายลงจริงๆ เมื่อ “
โมเสส” ได้ช่วยผู้นำทัพ “
รามเสส” (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) ลูกชายของฟาโรห์เซติไว้ได้...
“โมเสส” vs. “รามเสส”
สองหนุ่มคนสำคัญแห่งราชบัลลังก์อียิปต์โบราณ แม้จะเกิดจากคนละพ่อคนละแม่
แต่ก็ถูกเลี้ยงดูอย่างดี ดุจดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิต
แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือนิสัยใจคอของเจ้าชายทั้งสอง “
โมเสส” สุขุม เยือกเย็นและรักสงบ ต่างจาก “
รามเสส” ที่มุทะลุ ดุดันและโหดร้ายเลือดเย็น
แม้จะรู้กันดีว่า “
รามเสส” จะได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์
แต่ฟาโรห์เซติก็อดกังวลไม่ได้
เพราะอุปนิสัยมักง่ายและวิสัยทัศน์อันคับแคบของลูกชาย
แต่ถึงกระนั้น...เวลาก็ไม่คอยท่า สถานการณ์ของโมเสสย่ำแย่ลงอีก
เมื่อฟาโรห์เซติที่เขานับถือประดุจบิดาแท้ๆ ทรงพระประชวรหนัก
และสวรรคตอย่างกะทันหัน และเพราะความหวาดระแวงในตัวเขาของรามเสส
จากคำทำนายของศึกครั้งก่อน ทำให้เมื่อมีข่าวลับเล็ดลอดออกมาว่า แท้จริงแล้ว
“
โมเสส” มีต้นกำเนิดอันต่ำต้อย เป็นลูกชายของทาสชาวฮิบรู ก็ทำให้เขาถูกเนรเทศจากวังในเวลาต่อมา
“Exodus: Gods and Kings” ผลงานอลังการของผู้กำกับ ‘Gladiator’
ถ้าใครเป็นแฟนหนังดังอมตะอย่าง “
Gladiator” (2000) เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกันค่ะ “
Ridley Scott” ซึ่งนอกจากภาพยนตร์ดังกล่าวแล้ว เขายังเคยฝากผลงานเรื่องเยี่ยมสุดสะพรึง ที่หลายคนน่าจะจำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น “
Alien” (1979) “
Hannibal” (2001) หรือ “
Prometheus” (2012)…และสำหรับ “
Exodus: Gods and Kings”
ก็เป็นผลงานชิ้นล่าสุด ซึ่งก็อลังการสมการรอคอย
ทั้งภาพและองค์ประกอบศิลป์ต่างๆ ทำได้ดีทีเดียว
แต่สิ่งที่มาดามคิดว่าน่าจะเป็นจุดเด่นที่สุด ก็คือ “วิธีการเล่าเรื่อง”
“Exodus: Gods and Kings” ปัดฝุ่นตำนานโมเสส
เนื่องจากหนังมีความยาวค่อนข้างนาน เกือบๆ 160 นาที ทำให้เบื่อหน่ายหรือหลุดจากเรื่องได้ง่าย แต่ก็นับว่า “
Exodus: Gods and Kings” ทำได้ดีทีเดียว โดยสามารถเล่าตำนานของ “
โมเสส”
ให้ผู้ชมติดตามได้ง่าย ที่สำคัญจังหวะในการเล่าก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
ทำให้นักเรียนที่เรียนประวัติศาสตร์ได้ปานกลางอย่างมาดาม
เข้าใจเรื่องได้ง่ายๆ ถือเป็นช่วงรำลึกความหลังที่ดี
ซึ่งก็ต้องขอปรบมือให้วงการหนังฮอลลีวูดค่ะ เพราะกลวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้
ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพวกเขา...เป็นกุศโลบายสำคัญในการ “สื่อสาร”
ให้ผู้ชม “รับสาร” ได้เป็นอย่างดี
การกลับมาของ “แบทแมน” ในบทบาทของ “โมเสส” นักบุญและผู้ปลดปล่อยที่ยิ่งใหญ่ในตำนาน
แน่นอนว่าจุดขายสำคัญของ “
Exodus: Gods and Kings” นี้ ได้แก่ นักแสดงนำ “
คริสเตียน เบล”
(Christian
Bale)…เชื่อว่าหลายคนคงประทับใจบทบาทบู๊ของซุปเปอร์ฮีโร่คนดังอย่าง
“แบทแมน” ใน 3 ภาคล่าสุด (Batman Trilogy) กันดี ซึ่งในครั้งนั้น
‘คริสเตียน เบล’ ก็ชนะใจแฟนๆ ทั่วโลก ด้วยการแสดงขั้นเทพ
จนอาจเรียกได้ว่าภาพลักษณ์ความเป็น “แบทแมน”
ถูกฝังหรือแม็กคู่ไปกับภาพของเขาอย่างช่วยไม่ได้
การกลับมาครั้งนี้ของ “
คริสเตียน เบล” ในบท “
โมเสส”
วีรบุรุษนักบุญ ผู้ปลดปล่อยทาสชาวฮิบรูจากความทุกข์ทรมาน
น่าจะเป็นหนึ่งในบทบาทที่ท้าทายที่สุดในชีวิตเขา และก็ไม่ผิดหวังเลย
เพราะนักแสดงหนุ่มคนดัง ขวัญใจแฟนภาพยนตร์ทั่วโลกทำได้ดีทีเดียวค่ะ
เชื่อเลยล่ะ ว่าเขาเป็น “
นักบุญ” ที่สื่อสารกับพระเจ้าจริงๆ
Exodus: Gods and Kings เอ็กโซดัส : ก็อดส์ แอนด์ คิงส์